วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2557

กรุงพริทอเรีย







ข้อมูลเบื้องต้น :กรุงพริทอเรีย 
ชื่อทางการ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ 
พื้นที่ 1,233,404 ตารางกิโลเมตร 
เมืองหลวง กรุงพริทอเรีย มีประชาชนประมาณ 1,010,000 คน ประชากร 75% เป็นชนผิวดำ 13% เป็นชนผิวขาว 8% เป็นเชื้อชาติผสม และ 3% เป็นอินเดีย เมืองใหญ่ที่สำคัญที่สุดคือ Johannesburg และ Cape Town 
ประชากร 45.7 ล้านคน 
ภาษา ที่ใช้มากที่สุดคือภาษาอังกฤษ 
ศาสนา คริสต์ อิสลาม ฮินดู ยิว และความเชื่อพื้นเมืองอื่น ๆ 
เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมหลักคือ เหมืองแร่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ประมาณ 163.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ GDP ต่อหัวประมาณ 3,521 เหรียญสหรัฐ อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 1.9% และอัตราเงินเฟ้อ 6% (2547) 
เงินตรา สกุล Rand 1 Rand เท่ากับประมาณ 6.5 บาท ธนาคารส่วนใหญ่รับเช็คสกุลเงินหลัก ๆ โดยคิดค่าบริการประมาณ 1% ร้านค้ารับบัตรเครดิต โดยเฉพาะ Visa และ Mastercard การให้ทิปค่อนข้างจำเป็นเพราะอัตราค่าจ้างแรงงานในประเทศนี้ต่ำ ควรให้ทิปประมาณ 10-15% ของราคาบริการ 
ไฟฟ้า 220/230 โวลท์ (ในกรุงพริทอเรีย 250v) 
ข้อควรระวัง ไข้มาลาเรียพบมากทางภาคตะวันออกของประเทศ 
จำนวนนักท่องเที่ยว 6 ล้านคนต่อปี

Grasse เมืองแห่ง น้ำหอม ของฝรั่งเศส

Grasse เมืองแห่ง น้ำหอม ของฝรั่งเศส



ปัจจุบันผู้ชายอย่างน้อยกว่าร้อยล้านคนทั่วโลกต่างก็เป็นผู้บริโภคน้ำหอมกันโดยถ้วนหน้า เรียกว่าใช้กันไม่แพ้ผู้หญิงเลยทีเดียว เพราะนอกจากพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายจะใช้น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆหลังอาบน้ำประเภท

eau de toilet แล้ว น้ำหอมหลังโกนหนวดก็ยังเป็นสินค้าที่ขายดีติดอันดับด้วยเช่นเดียวกัน ตั้งแต่ยุคโบราณมนุษย์เริ่มรู้จักนำเครื่องหอมมาใช้เพื่อระงับกลิ่นกาย จากนั้นได้มีการจำแนกกลิ่นของหอมจากแหล่งที่มาต่าง ๆ ทั้งดอกไม้ พืช ดินบางชนิดไปจนถึงกลิ่นที่มาจากสัตว์ นำมาสกัดและใช้ผสมกับน้ำมันเพื่อสะดวกในการแต่งแต้มไปบนส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งค้นพบในเวลาต่อมาว่ากลิ่นของน้ำมันหอมจะเปลี่ยนไปตามกลิ่นเหงื่อและอุณหภูมิของผู้ใช้

ขวดน้ำหอมสไตล์ฝรั่งเศส การนำกลิ่นหอมต่างๆมาผสมขึ้นด้วยกลเม็ดและความชำนาญอันเกิดจากประสบการณ์ ตลาดเครื่องหอมจึงเป็นตลาดของชนชั้นสูงเท่านั้น การตั้งห้องทดลองเพื่อค้นคว้า สกัดกลิ่น และผสมเครื่องหอมต่างๆเริ่มแพร่หลายในยุคต่อมาจนกระทั่งถึงยุคกลาง จากนั้นในยุคของศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการนำน้ำหอมมาผสมกับสารอื่นๆเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่นใช้กับเครื่องเรือน ถุงมือ พัด จนถึงการนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในห้องน้ำเช่นสบู่หอม น้ำยาบ้วนปาก

ขวดน้ำหอมทำจากเซรามิกลวดลายงดงาม หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรปทั้งทวีปเข้าสู่ยุคทองของเศรษฐกิจที่เจริญก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ความมั่งคั่งได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป จึงมีการผลิตน้ำหอมออกสู่ท้องตลาดในผลิตภัณฑ์บรรจุที่งดงาม มีทั้งการออกแบบขวดและภาชนะบรรจุอย่างประณีต มีการนำขวดแก้วเจียรนัยจากหินผลึกทั้งขาวใสและสีต่างๆ ประดับด้วยลวดลายที่เขียนจากทองคำ จนกลายเป็นสินค้าที่หรูหราที่เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์และมั่งคั่งจะต้องเสาะหามาประดับห้องน้ำและโต๊ะกระจกเครื่องแป้ง

นักเคมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ปรับปรุงน้ำหอมจากน้ำหอมแบบโบราณให้เป็นน้ำหอมที่ทันสมัยด้วยความรู้และความสามารถ ประกอบกับความพิถีพิถันละเอียดลออ ทำให้น้ำหอมของฝรั่งเศสเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญและต้องการในศตวรรษที่ 20 จากการตั้งชื่อกลิ่นของน้ำหอมในเชิงโรแมนติค ทั้งยังมีการออกแบบขวดบรรจุและฉลากปิดที่งดงาม มีการออกแบบที่ละเมียดละไมผิดจากผลิตภัณฑ์อื่น สินค้าเหล่านี้กลายเป็นของที่ระลึกและของฝากที่สตรีทั่วโลกร่ำร้องที่จะเป็นเจ้าของ

อีกรูปแบบหนึ่งขวดน้ำหอม เมือง Grasse ในแคว้น Provence ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการผลิตน้ำหอมของฝรั่งเศส กลิ่นหอมจากดอกไม้และพืชนานาชนิดถูกนักผสมน้ำหอมหรือ Le Nez ทำการผลิตจากการผสมกลิ่นหอมต่างๆ และมีการตั้งชื่อด้วยคำจากภาษาวรรณกรรมหรือบุคคลเป็นส่วนใหญ่ จนเริ่มมีร้านขายน้ำหอมเปิดจำหน่ายเป็นร้านเฉพาจากเดิมที่จำหน่ายร่วมกับเวชภัณฑ์ โดยมีการตกแต่งร้านขายน้ำหอมอย่างดงามด้วยกระจกเงาและสีสันที่อ่อนโยน จนทุกคนเป็นต้องเหลียวมองเมื่อเดินผ่าน

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารต่างชาติทุกชาติทุกหน่วยต่างพากันซื้อน้ำหอมของฝรั่งเศสติดไม้ติดมือกลับบ้านเพื่อเป็นของฝากและของที่ระลึกให้กับภรรยา คู่รัก มารดา และพี่สาวน้องสาว น้ำหมอจึงกลายเป็นสิ่งที่สร้างความพอใจให้ผู้รับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้บริโภคน้ำหอมของชาวอเมริกันพุ่งขึ้นสูงสุดในยุคร็อค แอนด์ โรล นี้เอง และนับแต่นั้นเป็นต้นมาอุตสาหกรรมน้ำหอมในอเมริกาก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่ราคาก็ต่างจากน้ำหอมของฝรั่งเศสอย่างมาก จนทำให้น้ำหอมของอเมริกันเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย สามารถแบ่งตลาดน้ำหอมของฝรั่งเศสได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และยังครองใจวัยรุ่นได้เกือบทั่วโลกจากการแพร่ในลักษณะของสื่อแฝงทั้งภาพในสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และภาพยนตร์

จากน้ำหอมต่อยอดมาถึงผลิตภัณฑสปา การเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำหอมเริ่มจะอิ่มตัวในปลายศตวรรษที่ 20 แต่แล้วการเปิดตัวของ spa และ therapy house ต่างๆได้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดเครื่องหอมกลับแตกยอดต่อไปได้อย่างงดงาม